สาระน่ารู้เกี่ยวกับเเอสตาเเซนธินที่มีต่อสุขภาพผิวเเละการเกิดริ้วรอย
" ริ้วรอย " (Wrinkle) เป็นปรากฎการณ์เสื่อมสภาพของผิวที่สุภาพสตรีให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากมีผลต่อความสวยงามบนใบหน้าโดยตรง อีกทั้งเป็นสิ่งที่ชี้บ่งถึงความล่วงเลยของวัย
ปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอย ได้แก่
ปัจจัยภายใน อาทิเช่น อายุเพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดการเสื่อมไปตามธรรมชาติของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใต้ผิวหนังประเภทคอลลาเจนและอีลาสติน นำไปสู่การเกิดริ้วรอยชนิดถาวรขึ้น รวมไปถึงการทำงานของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าที่ควบคุมการแสดงออกของสีหน้า เช่น การยิ้ม การขมวดคิ้ว ความเครียด เป็นต้นเหตุของริ้วรอยอันเกิดจากการแสดงอารมณ์
ปัจจัยภายนอก คือ มลภาวะต่างๆ ได้แก่ รังสียูวี มลพิษทางอากาศ ฝุ่นควัน การสูบบุหรี่ ซึ่งก่อให้เกิดอนุมูลอิสระภายในผิวจนผิวเกิดการเสื่อมสภาพ ส่งผลให้เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และความหมองคล้ำของผิว
ประเภทของริ้วรอย
1.ริ้วรอยตื้น (fine wrinkles)
มีลักษณะเป็ยนเส้นบางๆ ที่ผิวมักเกิดบริเวณแก้มเป็นผลมาจากการที่ผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้น เนื่องจากผิวถูกทำร้ายจากสารที่ก่อให้เกิดจากการระคายเคืองแก่ผิว การชะล้างทำความสะอาดผิวที่รุนแรงเกินไป โดยเฉพาะการใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนล้างหน้า นอกจากนี้ มลภาวะจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ก็เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดริ้วรอยได้เช่นกัน
2.ริ้วรอยร่องลึก (Deep wrinkles or skin folds)
ริ้วรอยร่องลึกมักเกิดจากความหย่อนคล้อยของโครงสร้างผิว ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นร่องลึกบริเวณมุมปีกจมูกโค้งมาที่มุมปาก และอาจโค้งยาวลงมาถึงคางคล้ายเครื่องหมายวงเล็บรอบปาก นำไปสู่ความหย่อนคล้อยที่ปรากฎขึ้นที่แก้มทั้ง 2 ข้าง ริ้วรอยประเภทนี้เป็นผลมาจากการลดลงของคอลลาเจนในผิว และการเปลี่ยนแปลงของอิลาสตินตามธรรมชาติจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น และยิ่งเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นจากปัจจัยกระตุ้น ต่างๆ เช่น รังสียูวีจากแสงแดด การสูบบุหรี่ และมลภาวะ ต่างๆ ก็ส่งผลให้เกิดริ้วรอยได้มากยิ่งขึ้นเช่นกัน
อนุมูลอิสระ (free radical หรือ oxidant) คือ โมเลกุลที่มีอิเลคตรอนอิสระอยู่รอบนอก จัดเป็นโมเลกุลที่ไม่มีความเสถียรและมีความว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมีในลักษณะที่เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ สามารถเข้าทำปฏิกิริยากับสารชีวโมเลกุลต่างๆ ที่อยู่รอบข้างได้ทันทีที่ถูกสร้างขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่องค์ประกอบต่างๆ ของเซลล์ภายในร่างกาย เช่น การเปลี่ยนสภาพโปรตีนและไขมันของเยื่อหุ้มเซลล์ การทำลายโครงสร้างดีเอ็นเอ (DNA) ทำให้การทำงานของโปรตีนหรือเอนไซม์เหล่านั้นผิดปกติไป
(อ้างอิงที่1) ดังนั้นเมื่ออนุมูลอิสระไปทำลายโครงสร้างเซลล์ผิวที่มีโปรตีนและไขมันเป็นองค์ประกอบ (อ้างอิงที่ 2) จึงทำให้เป็นสาเหตุชองการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
สารต้านอนุมูลอิสระ คือ สารที่สามารถป้องกันหรือชะลอการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของอนุมูลอิสระได้ (อ้างอิงที่ 3) สารเหล่านี้มีกลไกในการต้านอนุมูลอิสระหลายเเบบ เช่น ดักจับอนุมูลอิสระโดยตรง ยับยั้งการสร้างอนุมูลอิสระ หรือ เข้าจับกับโลหะเพื่อป้องกันการสร้างอนุมูลอิสระ โดยทั่วไปสารต้านอนุมูลอิสระสามารถพบได้ในธรรมชาติจากสาร หลายชนิด เช่น ผัก ผลไม้ สาหร่าย เป็นต้น เเอสตาเเซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารกลุ่มเเคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งในกลุ่มเเทนโซฟิลล์ สามารถพบได้ในเเหล่งธรรมชาติ ในสภาพเเวดล้อมทะเลไปจนถึงเเอ่งหินทั่วไป รวมทัั้งพบในเปลือกกุ้ง เปลือกปู เเละ ปลาชนิดต่างๆ เช่น ปลาเเซลมอน ปลาเทราท์ (อ้างอิงที่ 4) ซิ่งมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชั่น ป้องกันการเสื่อมสภาพผิวจากเเสงเเดด เเละช่วยลดการอักเสบ (อ้างอิงที่ 5) นอกจากนี้สามารถพบเเอสตาเเซนธินได้ในสาหร่ายพันธ์ุ Haemetpcocus pluvialis ซึ่งถือได้ว่าเป็นเเหล่งที่มีเเอสตาแซนธินมากที่สุดในธรรมชาติ (อ้างอิงที่6) เเละไม่ต่างกับเเอสตาเเซนธินที่อยู่ในปลาเเซลมอนเเละสัตว์ทะเลอื่นๆ (อ้างอิงที่ 4) แอสตาแซนธินมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุดในสารกลุ่มแคโรทีนอยด์ด้วยกัน มีคุณสมบัติพิเศษคือ สามารถปรับตัวเองอยู่ได้ทั้งส่วนที่เป็นไฮโดรฟิลิก (ชั้นน้ำ) และไฮโดรโฟบิก (ชั้นไขมัน) ได้ทั้ง 2 ส่วน ต่างกับเบต้าแคโรทีนที่จะอยู่ได้เฉพาะส่วนที่เป็นชั้นไขมัน และวิตามินซีจะอยู่ได้เฉพาะที่เป็นชั้นนำ (อ้างอิงที่ 7) จึงมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าในการป้องกันผนังเซลล์ซึ่งมีทั้งชั้นนำและไขมัน (Lipid bilayer) จากปฏิกิริยาเปอร์ออกซิเดชั่น งานวิจัยทางคลีนิคศึกษาผลด้านสุขภาพผิวของผลิตภันฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ในกลุ่มอาสาสมัครผู้หญิงชาวอเมริกันวัยกลางคนที่สุขภาพดี พบว่า หลังจากสัปดาห์ที่ 6 อาสาสมัครกลุ่มที่ได้รับแอสตาแซนธินวันละ 4 มิลลิกรัม (2 x 2 มิลลิกรัม) มีสุขภาพผิวที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ริ้วรอยลดเลือนลง ความยืดหยุ่นของผิวดีขึ้น ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (placebo) (อ้างอิง 8)
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยกับกลุ่มอาสามสัครผู็หญิงจำนาน 30 คน อายุเฉลี่ย 20-55 ปี โดยให้อาสาสมัครรับแอสตาแซนธิน จาก Haematococcuspluvialis 6 มิลลิกรัมต่อวันควบคู๋กับการใช้ครีมจากแอสตาแซนธิน 2 มิลลิกรัม (สารละลาย 78.9 ไมโครโมล) หลังจากสัปดาห์ที่ 8 ของผิวที่ดีขึ้น มีความชุ่มชื้นดีขึ้นทั้งในผิวชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ เมื่อ มีการรับประทานร่วมกับการใช้ครีมบำรุงที่มีแอสตาแซนธิน (อ้างอิงที่ 4) อีกงานวิจัยเชิงทดลองแบบสุุ่มและมีกลุ่มควบคุม (Randomized double-blind placebo controlled study) ทดลองในกลุ่มผู้ชายในประเทศญี่ปุ่นจำนวน 36 คน อายุระหว่าง 20 - 55 ปี แบ่งอาสาสมัคร เป็น 2 กลุ่มเท่าๆ กัน คือกลุ่มที่ได้รับแอสตาแซนธินจาก Haematococcus pluvialis 6 มิลลิกรัม จำนวน 18 คน และกลุ่มหนึ่งที่ได้รับยาหลอก (placebo) จำนวน 18 คน หลังจากสัปดาห์ที่ 6 พบว่า กลุ่มที่รับประทานแอสตาแซนธินมีสุขภาพผิวโดยรวมดีขึ้น ดังนั้น การรับประทานแอสตาแซนธินจึงช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย (อ้างอิงที่4)
นากจากนี้ เนื่องจากแอสตาแซนธินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณภาพสูง ยังมีงานวิจัยของแอสตาแซนธินที่มีคุณประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีก เช่น เรื่องสายตา และการลดระดับไขมันในเลือดในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เป็นต้น
ทางด้านผลต่อสายตาและการมองเห็น
มีงานวิจัยของประเทศอิตาลี เป็นการทดลองแบบมีกลุ่มควบคุมโดยวัดความสามารถในการมองเห็น (visual acuity (VA). contrast sensitivity (CS) and National Eye Institute visual function questionnaire (NEI VFQ-25) scores) ของอาสาสมัครกลุ่มทดลองที่รับประทานแอสตาแซนธิน 4มก. ร่วมกับลูทีน 10 มก. ซีแซนทีน 1 มก.ต่อวัน เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่รับประทาน ติดตามผลเป็นเวลาสองปี พบว่า อาสาสมัครมีความสามารถในการมองเห็นดีขึ้นกว่ากลุ่มที่ไม่รับประทานอย่างมีนัยสำคัญ (อ้างอิงที่ 9)
ทางด้านไขมันในเลือด
งานวิจัยของประเทศเกาหลี ทำการทดลองแบบมีกลุ่มควบคุมในผู้ที่น้ำหนักเกิน โดยผู้รับการวิจัยและผู็รับการรักษลาไม่ทราบว่ารับประทานแอสตาแซนธินหรือยาหลอก (Randomize, double-blind,placebocontrolled study) พบว่า การรับประทานแอสตาแซนธินมีผลดีต่อระดับไขมันในเลือด โดยลดแอล ดี แอล โคเลสเตอรอล (LDL Cholesterol) ได้อย่างมีนัยสำคัญ และมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระได้จริงในผู้ที่มี น้ำหนักเกิน (อ้างอิงที่10)
วิตามินซีกับความสวยความงาม
วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน จึงช่วยลดการเกิดริ้วรอยและช่วยป้องกันอันตรายจากรังสียูวีจากแสงแดด นอกจากนี้ยังสามารถลดภาวะการเกิดผิวหมองคล้ำได้อย่างนัยสำคัญ จึงเป็นส่วนสำคัญ ที่ช่วยให้ผิวพรรณแลดุกระจ่างใส และมีสุขภาพดี (vhk'vb'muj 11,12) การทำงานร่วมกันของแอสตาแซนธินและวิตามินซีมินซีจึงให้คุณสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงมาก จะส่งผลดีต่อสุขภาพผิวพรรณ โดยสามารถลดการเกิดริ้วรอย ลดจุดด่างดำ เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้กับผิว ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำให้ผิวพรรณดูมีสุขภาพดี อ่อนวัย และกระจ่างใส แม้ตัวเลขของอายุจะเพิ่มขึ้นก็ตาม